กลุ่มการสนทนา :
กระดานสนทนา อบต.ยางหย่อง
กระทู้ :
7ข้อดีของการรีไฟแนนซ์สินเชื่อ sme
ยอดขายไม่ได้แย่ แต่ “ภาระดอกเบี้ย” จาก สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME ก้อนเดิมเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ เพราะดอกเบี้ยทยอยปรับขึ้น ขณะที่ต้นทุนอื่นก็ไม่ลดลงตาม เทรนด์นี้สะท้อนในรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ชี้ว่า ภาครัฐต้องออกมาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืนและสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้/รีไฟแนนซ์ เพื่อลดภาระดอกเบี้ยให้ทั้งรายย่อยและ SMEs ตั้งแต่ก่อนเป็น NPL
ในอีกด้านหนึ่ง สถาบันการเงินหลายแห่งเริ่มออกผลิตภัณฑ์เฉพาะกิจอย่าง สินเชื่อ SME Refinance เพื่อช่วยเปลี่ยน “หนี้ก้อนเดิมดอกเบี้ยแพง” ให้กลายเป็นภาระที่เบาลง เช่น สินเชื่อ SME Refinance ของ SME D Bank วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท ที่ตั้งใจช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุนการเงิน ผ่อนยาวขึ้น ดอกเบี้ยปีแรกเพียงราว 2.99% ต่อปี และปลอดเงินต้นได้นานถึง 12 เดือน แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนชัดว่า “การรีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจ” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่เจ้าของกิจการควรรู้จักให้ลึกกว่าแค่คำว่า “ดอกเบี้ยถูกลง”
ทีเซอร์นี้จึงอยากชวนคุณมาสำรวจ “7 ข้อดีของการรีไฟแนนซ์สินเชื่อ SME” ในมุมมองเจ้าของกิจการยุคใหม่ ที่ต้องจัดการทั้งหนี้เดิมและโอกาสโตในอนาคตไปพร้อมกัน
1) ลดดอกเบี้ย ลดค่างวด ให้ธุรกิจหายใจได้โล่งขึ้น
จุดขายข้อแรกของการ รีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจ คือการ “ย้ายหนี้ไปอยู่กับเจ้าหนี้ที่ให้เงื่อนไขดีกว่า” ตามนิยามของแบงก์ชาติ เช่น อัตราดอกเบี้ยต่ำลง หรือยืดระยะเวลาผ่อน ทำให้ค่างวดรายเดือนลดลงทันที ผลโดยตรงคือกระแสเงินสดต่อเดือนคลายตัวมากขึ้น มีพื้นที่ให้ธุรกิจหมุนเวียน ซื้อสต๊อก หรือลงทุนเล็ก ๆ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันได้
ในช่วงที่สถาบันการเงินออกแคมเปญดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้ารีไฟแนนซ์ เช่น ผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อธุรกิจที่ให้ส่วนลดดอกเบี้ยเพิ่ม หากเป็นลูกค้าย้ายหนี้เก่ามาจากสถาบันอื่น การคำนวณเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและค่างวดจึงเป็น “การบ้าน” ที่คุ้มค่ามากสำหรับ SME
2) เปลี่ยนหนี้ระยะสั้นให้เป็นโครงสร้างยาวที่รับไหว
หลายธุรกิจใช้วงเงินเบิกเกินบัญชี (OD) หรือสินเชื่อระยะสั้นหมุนสภาพคล่อง จนกลายเป็น “หนี้ยาวในคราบหนี้สั้น” ดอกเบี้ยสูงและไม่มีแผนปิดที่ชัดเจน การรีไฟแนนซ์เป็น สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME ระยะยาว (Term Loan) ที่มีตารางผ่อนแน่นอน ช่วยให้คุณค่อย ๆ ทยอยปิดหนี้ได้แท้จริง แทนที่จะหมุนวงเงินไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีจุดจบ
ทั้งแบงก์พาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจรัฐ ต่างมีโปรแกรมรีไฟแนนซ์ที่ออกแบบมาเพื่อ “เปลี่ยนหนี้หมุนเวียนให้กลายเป็นหนี้โครงสร้าง” พร้อมดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าการใช้ OD ต่อเนื่อง ข้อดีนี้สำคัญมากสำหรับกิจการที่อยากจัดระเบียบการเงินให้เป็นระบบ ก่อนวางแผนโตระยะยาว
3) รวบหนี้หลายก้อนให้เหลือเจ้าหนี้หลักรายเดียว
ข้อดีอีกประการคือการใช้การรีไฟแนนซ์ในลักษณะ “รวมหนี้” ตามแนวคิดปรับโครงสร้างหนี้ที่แบงก์ชาติสนับสนุน เพื่อลดภาระดอกเบี้ยรวมและจัดการหนี้ได้ง่ายขึ้น จากเดิมที่เจ้าของกิจการมีหนี้จากหลาย แหล่งเงินทุน ทั้งสถาบันการเงินปกติ ผู้ให้สินเชื่อรายย่อย และวงเงินนอกระบบบางส่วน การรีไฟแนนซ์ไปยังสถาบันที่เสนอแพ็กเกจรวมหนี้ธุรกิจ จะช่วยให้
ในบางกรณี การรีไฟแนนซ์เพื่อรวมหนี้พร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ย ยังช่วยให้ธุรกิจ “กลับมาเป็นลูกหนี้ปกติ” (ไม่เสี่ยงเป็น NPL) ภายใต้มาตรการแก้หนี้ยั่งยืนของธปท. ที่เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ SMEs ขอปรับโครงสร้างหนี้ได้ตั้งแต่ยังไม่เสียเครดิต
4) เพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อไม่ใช้หลักประกัน หรือใช้ บสย. ช่วยค้ำ
เจ้าของกิจการจำนวนไม่น้อยมีปัญหา “ภาระหลักทรัพย์ค้ำประกันเต็มวงเงิน” หากต้องการกู้เพิ่มเพื่อต่อยอดกิจการ การรีไฟแนนซ์ไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้การค้ำประกันจากสถาบันของรัฐ (เช่น บสย.) หรือเข้าสู่กลุ่ม สินเชื่อไม่ใช้หลักประกัน สำหรับ SME ที่ดูจากข้อมูลกระแสเงินสดและงบการเงินแทนหลักทรัพย์ สามารถเปิดพื้นที่ใหม่ให้ธุรกิจกู้เพื่อการลงทุนได้อีกครั้ง
ตัวอย่างเช่น สินเชื่อที่ผูกกับโปรแกรมค้ำประกันของบสย. ทำให้คำว่า “รีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจ” ไม่ได้หมายถึงแค่ย้ายเจ้าหนี้ แต่คือการปรับโครงสร้างใหม่ทั้งหมดให้เหมาะกับศักยภาพและความเสี่ยงของกิจการในวันนี้ มากกว่าการยึดติดกับหลักทรัพย์เมื่อหลายปีก่อน
5) ปรับเงื่อนไขให้สอดคล้องกับฤดูกาลและโมเดลรายได้
สินเชื่อ SME ยุคใหม่หลายตัวเริ่มออกแบบโครงสร้างการผ่อนให้ยืดหยุ่นตามฤดูกาล เช่น ช่วงโลว์ซีซันอาจจ่ายน้อย ช่วงไฮซีซันจ่ายมาก หรือให้ปลอดเงินต้นช่วงแรกเพื่อรองรับการลงทุนปรับปรุงกิจการ
การรีไฟแนนซ์จากสัญญาเดิมที่ “ค่างวดเท่ากันทุกเดือน” ไปสู่สัญญาใหม่ที่ผูกกับรูปแบบรายได้จริงของกิจการ จะช่วยลดความตึงเครียดเรื่องกระแสเงินสด ทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถโฟกัสไปที่การบริหารยอดขายและต้นทุนได้เต็มที่ แทนที่จะกังวลทุกสิ้นเดือนว่าจะหมุนเงินมาปิดค่างวดทันหรือไม่
6) ใช้เป็นจังหวะ “จัดโต๊ะบัญชี” และทำแฟ้มเครดิตธุรกิจให้สวยขึ้น
ก่อนสถาบันการเงินจะอนุมัติการรีไฟแนนซ์ มักต้องการเห็นภาพรวมของกิจการที่ชัดเจนขึ้น ทั้งสเตทเมนต์ บัญชีรายได้–ค่าใช้จ่าย และภาระหนี้ทั้งหมด การเตรียมข้อมูลเหล่านี้ให้เรียบร้อยจึงกลายเป็นโอกาสดีในการ “จัดโต๊ะบัญชี” ให้สะอาด โปร่งใส และเล่าเรื่องความสามารถของธุรกิจได้อย่างเป็นระบบ
หากเจ้าของกิจการใช้โอกาสรีไฟแนนซ์นี้ ปรับรูปแบบการเดินบัญชีให้เงินเข้า–ออกผ่านบัญชีธุรกิจหลัก ลดการใช้เงินสดนอกระบบ และทำงบการเงินให้สะท้อนการดำเนินงานจริง ก็จะช่วยยกระดับ “เครดิตธุรกิจ” ในสายตาสถาบันการเงินในระยะยาว เพิ่มโอกาสเข้าถึง แหล่งเงินทุน อื่น ๆ ในอนาคตได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเพื่อขยายโรงงาน ซื้อเครื่องจักร หรือเปิดสาขาใหม่
7) วางฐานให้พร้อมสำหรับโอกาสการลงทุนรอบใหม่
สุดท้าย การรีไฟแนนซ์ไม่ได้มีเป้าหมายแค่ “หนีดอกเบี้ยแพง” แต่คือการรีเซ็ตโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจ 3–5 ปีข้างหน้า หากจัดการดี คุณจะมี
ทั้งหมดนี้ทำให้เมื่อมีโอกาสดี เช่น ตลาดขยาย ลูกค้ารายใหญ่เปิดดีลใหม่ หรือรัฐออกโครงการสนับสนุน SME เพิ่มเติม คุณจะพร้อมยื่นขอ สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME ก้อนถัดไปได้อย่างมั่นใจ มากกว่ากังวลว่าโครงสร้างหนี้เดิมจะเป็นตัวถ่วงอนาคตของกิจการ
ทีเซอร์นี้เป็นเพียงภาพกว้างของ “7 ข้อดีของการรีไฟแนนซ์สินเชื่อ SME” เท่านั้น
ในบทความหลัก คุณสามารถต่อยอดไปสู่รายละเอียดเชิงลึก เช่น วิธีคำนวณจุดคุ้มทุนของการรีไฟแนนซ์ (เมื่อรวมค่าธรรมเนียมแล้ว), การเลือก แหล่งเงินทุน ที่เหมาะกับแต่ละโปรไฟล์ธุรกิจ, เปรียบเทียบทางเลือก สินเชื่อไม่ใช้หลักประกัน กับสินเชื่อมีหลักประกัน และเช็กลิสต์เอกสารที่ควรเตรียมก่อนคุยกับธนาคาร
ถ้าธุรกิจของคุณกำลังรู้สึกว่า “หนี้เดิมเริ่มหน่วงการเติบโต”
บทความเต็มหัวข้อ “7 ข้อดีของการรีไฟแนนซ์สินเชื่อ SME” อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดโครงสร้างหนี้ใหม่ ให้หนี้ “ทำงานร่วมกับธุรกิจ” แทนการดึงธุรกิจให้ช้าลงครับ |